พระราชวังบางปะอิน
ประวัติพระราชวังบางปะอิน
อาคารที่สำคัญในพระราชวังบางปะอิน ซึ่งสร้างสมัยรัชกาลที่ 5 ได้แก่
พระที่นั่งไอศวรรยทิพยอาสน์
เป็นปราสาทอยู่กลางสระ สร้างในรัชกาลที่ 5 เดิมสร้างด้วยไม้ทั้งองค์ต่อมา รัชกาลที่ 6
โปรดฯให้เปลี่ยนเสา และพื้นเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กทั้งหมดบางปะอินได้เป็นที่ประทับของพระเจ้าปราสาททองในสมัยอยุธยาตอนกลาง
โดยให้สร้างพระตำหนักกลางน้ำหลังหนึ่งไว้
ชื่อพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ และสร้างวัดในบริเวณใกล้เคียงกันให้ชื่อว่า วัดชุมพลนิกายาราม
แม้เชื่อกันว่าบางปะอินจะเป็นที่เสด็จประพาสของกษัตริย์อยุธยาตั้งแต่นี้มา แต่หลังการเสียกรุงเมื่อปี พ.ศ. 2310
ก็ทำให้บางปะอินและบริเวณแถบนี้กลายเป็นที่รกร้าง บางปะอินได้รับการรื้อฟื้นให้เป็นที่ประทับขององค์กษัตริย์
และเจ้านายอีกครั้ง โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยให้สร้างพระตำหนักกลางน้ำ
และให้นามตามพระที่นั่งองค์เดิม คือ พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ แต่ถูกรื้อเพื่อสร้างใหม่ในสมัยต่อมา
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงให้ปรับปรุงพื้นที่และก่อสร้างอาคารต่าง ๆ
เพื่อเป็นสถานที่เสด็จประพาส แต่ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7
พระองค์ประพาสที่นี่เพียงครั้งเดียว หลังจากนั้น พระราชวังบางปะอินก็ร่วงโรย เพิ่งจะได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ในรัชกาลปัจจุบัน
อาคารที่สำคัญในพระราชวังบางปะอิน ซึ่งสร้างสมัยรัชกาลที่ 5 ได้แก่
พระที่นั่งไอศวรรยทิพยอาสน์
เป็นปราสาทอยู่กลางสระ สร้างในรัชกาลที่ 5 เดิมสร้างด้วยไม้ทั้งองค์ต่อมา รัชกาลที่ 6
โปรดฯให้เปลี่ยนเสา และพื้นเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กทั้งหมดบางปะอินได้เป็นที่ประทับของพระเจ้าปราสาททองในสมัยอยุธยาตอนกลาง
โดยให้สร้างพระตำหนักกลางน้ำหลังหนึ่งไว้
ชื่อพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ และสร้างวัดในบริเวณใกล้เคียงกันให้ชื่อว่า วัดชุมพลนิกายาราม
แม้เชื่อกันว่าบางปะอินจะเป็นที่เสด็จประพาสของกษัตริย์อยุธยาตั้งแต่นี้มา แต่หลังการเสียกรุงเมื่อปี พ.ศ. 2310
ก็ทำให้บางปะอินและบริเวณแถบนี้กลายเป็นที่รกร้าง บางปะอินได้รับการรื้อฟื้นให้เป็นที่ประทับขององค์กษัตริย์
และเจ้านายอีกครั้ง โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยให้สร้างพระตำหนักกลางน้ำ
และให้นามตามพระที่นั่งองค์เดิม คือ พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ แต่ถูกรื้อเพื่อสร้างใหม่ในสมัยต่อมา
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงให้ปรับปรุงพื้นที่และก่อสร้างอาคารต่าง ๆ
เพื่อเป็นสถานที่เสด็จประพาส แต่ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7
พระองค์ประพาสที่นี่เพียงครั้งเดียว หลังจากนั้น พระราชวังบางปะอินก็ร่วงโรย เพิ่งจะได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ในรัชกาลปัจจุบัน
พระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียร
อยู่ทางทิศตะวันออกตรงข้ามกับสระน้ำ เป็นพระที่นั่งเรือนไม้หมู่ทั้งชั้นบนและชั้นล่างมีเฉลียงตามแบบชาเลตของสวิส
ทาสีเขียวอ่อนแก่สลับกันด้วยงานช่างที่ประณีต สิ่งประดับตกแต่งภายใน ประกอบด้วย
เครื่องไม้มะฮอกกานีจัดสลับลายทองทับที่สั่งจากยุโรปทั้งสิ้น นอกนั้นเป็นสิ่งของหายากในประเทศ
อันเป็นเครื่องราชบรรณาการจากหัวเมืองต่างๆ ทั่วราชอาณาเขตรอบๆ มีสวนดอกไม้สวยงาม
เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่พระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียรได้เกิดเพลิงไหม้ ขณะที่มีการซ่อมรักษาเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2481
ทำให้พระที่นั่งถูกทำลายไปกับกอง เพลิงหมดสิ้นทั้งองค์คงเหลือแต่หอน้ำ
ปัจจุบันได้สร้างขึ้นใหม่ตามแบบเดิมทุกประการ แต่เปลี่ยนวัสดุจากไม้เป็นอาคารคอนกรีตแทน
หอวิฑูรทัศนา
เป็นพระที่นั่งหอสูงยอดมน ตั้งอยู่กลางเกาะน้อยในสวนเขตพระราชวังชั้นในระหว่างพระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียรกับพระที่นั่งเวหาศน์จำรูญ
เป็นพระที่นั่ง 3 ชั้น มีบันไดเวียน เป็นหอส่องกล้องชมภูมิประเทศบ้านเมืองโดยรอบสร้างในรัชกาลที่5 เมื่อปี พ.ศ. 2424
พระที่นั่งเวหาศน์จำรูญ
ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของพระราชวังถัดจากหอวิฑูรทัศนาขึ้นไป พระที่นั่งองค์นี้มีนามเป็นภาษาจีนว่า
"เทียน เม่ง เต้ย" (เทียน=เวหา, เม่ง=จำรูญ, เต้ย=พระที่นั่ง) ประชาชนทั่วไปเรียกว่า "เก๋งจีน"
เพื่อเป็นพระที่นั่งสำหรับประทับ ในฤดูหนาว โดยกลุ่มพ่อค้าชาวจีนในไทยสร้างถวาย รัชกาลที่ 5 ในปี พ.ศ. 2432
ลักษณะเป็นพระที่นั่งศิลปะ แบบจีน ที่มีลายแกะสลักได้อย่างงดงามวิจิตรยิ่ง โถงด้านหน้าปูด้วยกระเบื้อง แบบกังไส
เขียนภาพด้วยมือทุกชิ้น แม้ว่าภาพจะเหมือนกันแต่เนื่องจากเป็นงานฝีมือ จึงมีความแตกต่าง
กันในรายละเอียดที่ทำให้ดูสวยงามไปอีกแบบหนึ่ง ปัจจุบันเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมได้
พระที่นั่งวโรภาษพิมาน
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้เป็นท้องพระโรงเสด็จออกว่าราชการ
แต่ปัจจุบันใช้เป็นที่ประทับเมื่อมีการเสด็จแปรพระราชฐาน
ขอบคุณที่มาแวะชมนะคะ^^




















